ถล่ม"มาร์ค-กรณ์"ดีแต่กู้ทำชาติล่มจม



ฝ่ายค้าน กล่าวหา"อภิสิทธิ์-กรณ์"มุ่งแต่กู้เงินทำประเทศชาติล่มจม ซัด ทำเช็กช่วยชาติเอื้อประโยชน์เอกชน

นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล  ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง โดยแจ้ง 4 ข้อกล่าวหาที่ไม่ไว้วางใจให้ปฎิบัติหน้าที่ต่อไปได้ คือ บริหารงานผิดพลาด ประมาทเลินเล่อทำให้ประเทศถังแตก บริหารงานแบบหน้ามืตามัว สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องและพรรคการเมืองตัวเอง บริหารงานสร้างหนี้ กู้ยืม เอาประเทศไปจำนำจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว และบริหารงานไร้ประสิทธิภาพ ปราศจากความรู้ความสามารถทำให้คนจน 23 ล้านคน  เกษตรกร 24 ล้านคนมีหนี้พอกพูน
         

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ชอบพูดว่ามาถูกทาง ซึ่งตอนนี้มาถูกทางจริง ๆ เนื่องจากทำให้รัฐบาลถังแตก เห็นได้จากการที่รัฐบาลเข้ามารับตำแหน่ง และมีการจัดทำงบกลางปี 116,700 ล้านบาท มีการใช้เงินคงคลัง 19,137 ล้านบาท  เมื่อรวมงบประมาณขาดดุลปี 52 จำนวน 249,500 ล้านบาท ทั้งหมดรัฐบาลต้องขาดดุลงบประมาณแล้ว 347,000 ล้านบาท  ซึ่งยังไม่รวมการจัดเก็บรายได้ปี 52 จากคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมาย 150,000 ล้านบาท จากประมาณการจัดเก็บรายได้ 1.585 ล้านล้านบาท 
         

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวคิดที่จะขยายเพดานการกู้เงินอีก เพื่อก่อหนี้ให้รัฐบาล นำมากระตุ้นเศรษฐกิจ มีการเสนอ พ.ร.บ.ขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญา เพื่อจะไปกู้เงิน โดยขอสภาให้ผ่านกฎหมาย ขณะที่ฝ่ายค้านได้เตือนแล้วว่าผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 
         

นอกจากนี้เห็นว่า การที่รัฐบาลจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้มีแนวคิดที่จะรีดภาษี ตั้งแต่แนวคิดการเก็บภาษีเหล้า บุหรี่ ชา กาแฟ สถานบันเทิง สถานบริการ ขึ้นภาษีน้ำมัน เงินออกกฎหมายนิรโทษกรรม นำเงินรายได้จากการขายหวยบนดิน 17,000 ล้านบาทมาใช้ ขณะที่รัฐบาลกลับรีรอที่จะเดินหน้าขายหวยออนไลน์ ซึ่งจะทำให้ประชาชน คนเดินโพยได้ประโยชน์ และรัฐบาลมีรายได้ อย่างน้อย 840 ล้านบาท/งวด หากเทียบจากรายได้ที่เคยขายหวยบนดิน งวดสุดท้าย 3,000 ล้านบาท/งวด  
         

"ทำไมไม่ทำหวยบนดิน เพราะประชาชน จะได้ประโยชน์ คนเดินโพย คนที่ลงทุนไปแล้ว มีความเสียหายไปแล้ว 12,000 ราย ที่รัฐบาลไม่กล้าทำเพราะอะไร  เพราะมีรายใหญ่ สลากกินแบ่งรัฐบาล ขายเกินราคา  5 เสือ ได้กำไร 400 ล้านบาท/งวด ...ขึ้นภาษีน้ำมันเกษตรกรที่ใช้รถไถนาก็เดือดร้อน รัฐบาลไม่ได้ช่วยสนับสนุน กลับซ้ำเติม ราคาปุ๋ยก็เพิ่มขึ้น จาก 600 เป็น 900 บาท/ถุง รัฐบาลนี้ไมได้ใส่ใจพี่น้องเกษตรกร รัฐบาลสมชาย มีวงเงินรับจำนำผลผลิต แต่รัฐบาลนี้ตัดทิ้ง นำไปใช้จ่ายฉุยแฉก" นายสุรพงษ์ กล่าว
         

นายสุรพงษ์ กล่าวอภิปรายอีกว่า นายอภิสิทธิ์ และ นายกรณ์ยังขาดประสบการณ์ ขาดความเข้าใจชีวิตคนจน ขาดความรู้ ความกล้าหาญในการตัดสินใจ ไม่รู้วิธีหาเงิน ไม่รู้จักทำมาหากิน เพราะไม่เคยอดอยาก
         

ทั้งนี้ เห็นว่ารัฐบาลควรออกมายอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะติดลบ ไม่ใช่เป็นบวกตามที่เคยประกาศ เพราะหลายสำนักคาดการณ์ในทิศทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบ โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)คาดว่าติดลบ 1% สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)คาดว่า  0 ถึง ลบ 1% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)คาดว่า ติดลบ 2% เพราะการปิดสนามบิน การเมืองไร้เสถียรภาพ และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ขณะที่นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยติดลบ 4% ดังนั้น จึงขอเตือนรัฐบาลอย่านำพาประเทศล่มจม มุ่งแต่กู้เงิน แต่ต้องเร่งหารายได้เข้าประเทศ 
         

"เด็กหนุ่ม 2 คน ทำประชานิยมลอกเลียนแบบทักษิณ ไม่ต้องอาย เพราะมีนิสัยชอบลอกอยู่แล้ว เช่น  5 ม. 6 เดือน ให้ผู้มีรายได้น้อยได้ประโยชน์ ประชาชนได้อย่างทั่วถึง ไม่ต้องอายว่า เป็นวิธีการที่ทักษิณ คิดให้ประชาชน ..เด็กหนุ่ม 2 คน ไม่เป็นตัวของตัวเอง ตกเป็นเบี้ยล่างของบางคน เช่น กรณีการบินไทย ที่คลังถือหุ้นใหญ่ แต่กลับปล่อยให้ รมว.คมนาคม ดูแล และตัดสินใจให้ย้ายการบินไทยจากดอนเมืองไปสุวรรณภูมิ เป็นการเพิ่มความแออัดให้สนามบิน เพื่อเป็นข้ออ้างที่จะขยายสนามบิน...วันนี้ผมขอเรียก นายอภิสิทธ์ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ รมว.คลัง เป็นครั้งสุดท้าย" นายสุรพงษ์ กล่าว

ซัด รบ.ทำเช็กช่วยชาติเอื้อประโยชน์เอกชน

จากนั้นนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะเรื่องของเช็กช่วยชาติ 2,000 บาท ที่รัฐบาลไม่ได้ประจายความช่วยเหลือ ครอบคลุมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสภาวะเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
         

นอกจากนี้ยังมีความไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์ให้กับธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นธนาคารเอกชน ให้เป็นผู้ดำเนินการแจกจ่ายเช็ก 2,000 บาท แทนที่จะเป็นธนาคารของรัฐ โดยตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัฐบาลมอบหมายให้ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ดำเนินการ เนื่องจากผู้บริหารมีความสัมพันธ์ใกล้ชิกกับ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและยังเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการทำให้ประเทศชาติต้องเสียหาย จากส่วนต่างในการจัดพิมพ์เช็ก จึงไม่สามารถไว้วางใจ นายกรณ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ เพราะเช็กดังกล่าว ไม่ถือเป็นเช็กช่วยชาติ แต่เป็นเช็กช่วยพวกพ้อง
         

ด้านนายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเรื่องการใช้งบจัดโครงการต้นกล้าอาชีพ ที่มีการใช้งบในส่วนที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
         

นอกจากนี้เรื่องโครงการเช็กช่วยชาติ 2,000 บาท ก็ยังทำให้ธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ ได้รับประโยชน์ในการใช้จ่ายเช็กของประชาชน แทนที่จะเป็นร้านค้าขนาดเล็ก


http://www.posttoday.com/international.php?id=38643