เหตุการณ์กระทรวงพาณิชย์ส่ง “หน่วยเฉพาะกิจจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์” บุกเข้าจับกุมกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าผู้ขายสินค้าของปลอมเลียนแบบที่ย่านถนนพัฒนพงษ์ เมื่อคืนวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่าน จนเกิดการปะทะกันดุเดือดถึงขั้นเลือดตกยางออก แต่ยังนับว่าโชคดีที่เหตุตะลุมบอนระหว่างกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ากับเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ไม่มีใครต้องสังเวยชีวิต เท่าที่ดูภาพข่าวการเข้าจับกุมของหน่วยเฉพาะกิจกระทรวงพาณิชย์ ส่อให้เห็นว่า พฤติการณ์เจ้าหน้าที่หน่วย ฉก.ชุดนี้ มุ่งใช้กำลังและความรุนแรงเข้าจัดการกับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย อันพบได้จาก การไม่แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ และแจ้งการเข้าตรวจค้นจับกุมให้พ่อค้าแม่ค้าได้รู้ก่อน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่กลับใช้กำลังคนที่ไม่มีสัญลักษณ์ หรือเครื่องแบบที่จะแสดงให้รู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมาย มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่ ฉก.ชุดนี้ ล้วนเป็นชายหน้าตาเหมือนโจรทั้งนั้น เข้าไปยึดทรัพย์สินของเขา ซึ่งก็สมน้ำหน้าที่ตอนนี้โดนแจ้งข้อหาหนัก “ลักทรัพย์ และปล้นทรัพย์” เรื่องนี้กำลังจะลุกลามบานปลายเป็นเหตุซึ่งจะพัวพันเป็นคดีความระหว่างทั้งสองฝ่ายต่อไป เพราะดูแล้วไม่มีใครยอมใครแน่ หลังเหตุปะทะจบไป ต่างฝ่ายต่างใช้สิทธิตามกฎหมาย นำเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นเข้าแจ้งกล่าวหากัน เป็นทั้งคดีอาญา และคดีแพ่ง ที่จะต้องต่อสู้กันอีกนานในชั้นศาล นอกจากการเป็นคดีความแล้ว สังคมก็ควรที่จะทำการตรวจสอบเค้นหาความจริงในเหตุเกิดที่พัฒน์พงษ์ ว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังการทำงานของหน่วยฉก.กระทรวงพาณิชย์ มีความจริงใจในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และขบวนการค้าของเถื่อนเหล่านั้นจริงหรือไม่ ? หรือว่า เป็นการทำงานเพื่อหาประโยชน์ และสนองประโยชน์ให้กับใคร ? เพราะการเกิดขึ้นของหน่วยเฉพาะกิจเพื่อการปราบปรามการกระทำผิดใดๆ ที่เคยมีนั้น หนีไม่พ้นต่อการมี “วาระซ่อนลึก มีผลประโยชน์ซ่อนเร้น” จากการทำงานของหน่วยเฉพาะกิจกระทรวงพาณิชย์ ก็น่าสงสัย เพราะลักษณะการทำงานชี้ว่า เป็นการทุบตีเพื่อ“ล่าเมืองขึ้น” ยิ่งการปฏิบัติการเข้มข้นรุนแรง ก็ยิ่งมือหนัก รับอัดฉีดกันครั้งละหลายปึก ดังนั้นเมื่อมีเรื่อง “ส่วย” เป็นเป้าหมาย ฉก.ชุดนี้จึงต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้กำลังและความรุนแรงเข้าข่มเหงรังแกประชาชนพ่อค้าแม่ค้าที่ย่านพัฒนพงษ์ เพื่อขู่ให้ยอมจ่ายโดยง่าย ทั้งๆที่ พ่อค้าแม่ค้าพวกนี้ไม่มีอำนาจ หรือสิ่งใดที่จะไปขัดขวางต่อสู้การเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ได้ ถ้าจะทำการตรวจค้นจับกุมตามกฎหมาย โดยวิธีสันติและละมุนละม่อม ก็ย่อมทำได้ แต่ก็เลือกใช้วิธีการ “ป่าเถื่อน” ทั้งที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย้ำนักย้ำหนาว่า การบริหารบ้านเมืองจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายแก่ประชาชนทุกชั้นชนอย่างเสมอภาค และเป็นธรรม ซึ่งประชาชนฟังแล้วก็อุ่นใจที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายเช่นนั้น แต่รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ของท่านเองกลับไม่ได้ยิน และทำในสิ่งที่สวนทาง ส่งสมุนมาทุบตีคนทำมาหากินข้างถนน จนเลือดสาดหัวร้างข้างแตก แค่มีความผิดขายของละเมิดลิขสิทธิ์ (ถ้าสงสัยว่าทำไมต้องเลือกวิธีการป่าเถื่อนรุนแรง ขอให้ย้อนกลับขึ้นไปอ่านข้างต้นอีกรอบ) ทีคดีอุกฉกรรจ์ท้าทายกฎหมายบ้านเมืองอย่างอุกอาจกลางเมืองหลวง จนเสียภาพพจน์ของประเทศไปทั่วโลกแล้ว อย่าง คดีลอบสังหาร คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แห่งสำนัก ASTVผู้จัดการ ไม่เห็นจะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐหน้าไหน รวมทั้งรัฐบาลออกมาแสดงความใส่ใจ และอำนวยความเป็นธรรมให้คุณสนธิอย่างเข้มแข็งเลย เท่าที่เห็นมาถึงตอนนี้ เหตุการณ์ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ก็มีแต่ปัดความรับผิดชอบ ไม่มีคนกล้าออกมาทำหน้าที่ในคดีคุณสนธิ เลย มีแต่ตำรวจสองนายเท่านั้น คือ พล.ต.อ.ธานี สมบรูณ์ทรัพย์ กับ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ทั้งๆ ที่ตำรวจที่กินเดือนเงินภาษีของประชาชนในประเทศนี้ ที่เป็นมือสืบสวนสอบสวนมือดี ก็มีมาก แต่ ผบ.ตร. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็ไม่เคยคิดที่จะจัดหามาช่วยคลี่คลายคดี แบบนี้อยู่ไปก็เปลืองเงินภาษีอากรประชาชนหรือเปล่า ? ส่วนทหารผู้ใหญ่หลายคนที่มีอำนาจอยู่ในกองทัพ สมควรจะกระโดดเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่งด้วย เพราะคดีลอบสังหารคุณสนธิ เหตุเกิดในวันที่ทหารมีอำนาจในการดูแลรักษาความสงบในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามอำนาจกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ก็นิ่งเฉย ทำท่าเหมือนจะบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของกู” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทหารชั้นผู้ใหญ่บางคน นอกจากจะมีอำนาจตามที่กล่าวมาแล้ว ตนเองยังต้องเคลียร์ตัวเองออกจากคดีนี้ เนื่องจากถูกสังคมตั้งข้อสงสัย... ก็มีปฏิกิริยาที่ปัดความรับผิดชอบอย่างน่ารังเกียจ มิหนำซ้ำยังมีการกระทำหลายครั้งหลายหลายประการที่ส่อเจตนาจะให้คดีคุณสนธิ ปิดไม่ลงอีกต่างหาก เช่นล่าสุดก็ออกมาขู่จะดำเนินคดีสื่อ ถ้าลงข่าวระบุ เขาเกี่ยวโยงกับคดีสังหารคุณสนธิ บ้านนี้เมืองนี้ต้องจุดเทียนกลางวันเสียแล้ว เพราะมันมืดมนจริงๆ ข้าราชการของรัฐไม่ใช่ที่พึ่งของประชาชนแล้ว ซ้ำยังออกมาข่มเหงรังแกประชาชน อย่างกรณีหน่วย ฉก.นายอลงกรณ์ ก็ถือเป็นตัวอย่างที่น่าอัปยศอดสูที่สุด ต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่กับประชาชน อย่างไรก็ตาม หากพ่อค้าแม่ค้าย่านพัฒน์พงษ์กระทำความผิด หรือจะเป็นการกระทำผิดกฎหมายของใคร เรื่องใดก็ตาม ก็ต้องจัดการภายใต้อำนาจหน้าที่ที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น จะลุแก่อำนาจใช้อำนาจเกินกว่าขอบเขตนั้น เป็นเรื่องที่ต้องไม่ให้เกิดขึ้นในรัฐบาลที่พร่ำพูดถึงการปกครองโดยนิติรัฐ และปฏิบัติอย่างนิติธรรม เมื่อการปฏิบัติการกรณี “หน่วย ฉก.อลงกรณ์” ยกทัพไปย่ำยีประชาชนย่านพัฒนพงษ์ ด้านหนึ่งย่อมเป็นคำตอบได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ดีแต่ปาก! |